“ทักษิณ” ติดบ่วง 2 กับดักตัดเกม แผนบีบเพื่อไทย จับตาฝ่าพลังดูดเลือกตั้งครั้งหน้า ชี้การเมือง “3 ก๊ก”ไล่เช็กบิล ฝ่ายตรงข้ามจนมุม
เมื่อวาน (17 พ.ย.68) มีรายงานการพิจารณายื่นอุทธรณ์คดีตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ของ นายทักษิณ ชินวัตร กรณีให้สัมภาษณ์มีเนื้อหาพาดพิงสถาบัน กับสำนักข่าวแห่งหนึ่ง ที่กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ ปี 2558 คดีนี้เป็นอำนาจของอัยการสูงสุด เนื่องจากเป็นคดีนอกราชอาณาจักร เดิมมีการยื่นขยายระยะเวลาต่อศาลอาญาครั้งที่ 2 ไปถึงวันที่ 21 พ.ย.นี้ ซึ่งมีรายงานว่า นายอิทธิพร แก้วทิพย์ อัยการสูงสุด มีความเห็นควรยื่นอุทธรณ์คดีให้ศาลอุทธรณ์เป็นผู้พิจารณา จากนี้คำสั่งของอัยการสูงสุดจะถูกส่งไปยังอัยการสำนักงานคดีอาญา 8 เจ้าของสำนวนเพื่อยื่นอุทธรณ์คดีต่อศาลอุทธรณ์ต่อไป
ขณะที่วันนี้ 18 พ.ย.68 กระทรวงยุติธรรมมีคำสั่งทบทวนหลักเกณฑ์ผู้ต้องขังพักโทษ-ส่งรักษาตัวนอกเรือนจำ หลายคนจับตาว่าจะมีผลต่อการพิจารณาพักโทษ ทักษิณ ชินวัตร ที่เข้าเกณฑ์ผู้สูงอายุ ซึ่งจะครบ 1 ใน3 ของโทษ (4 เดือน) ในวันที่ 9 ม.ค. 2569 นับจากวันที่เริ่มจำคุก 9 กันยายน 2568
หากมองเชิงการเมืองนี่คือการวางกับดักให้กับพรรคเพื่อไทยหรือไม่? ทีมข่าวเฉพาะกิจ ไทยรัฐออนไลน์ สอบถามไปยัง นายศักดา นพสิทธิ์ นักวิเคราะห์การเมือง มองว่า กรณีพิจารณายื่นอุทธรณ์คดีตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ของ นายทักษิณ ชินวัตร เป็นลักษณะข้อสังเกตที่เกี่ยวข้องกับการเมือง หากมีการเลือกตั้งในช่วงต้นปี 2569 ถ้าคุณทักษิณได้พักโทษจะได้ออกมาช่วยพรรคเพื่อไทยหาเสียง ซึ่งถ้าเป็นเหตุปกติตามเป้าหมาย คุณทักษิณ ต้องได้รับโทษมาแล้ว 1 ใน 3 และมีอายุเกิน 70 ปีขึ้นไป ตามเงื่อนไข แต่ด้วยเหตุการณ์เมื่อวานนี้ เป็นปรากฏการณ์ในทางกฎหมาย ที่เป็นการสกัดไม่ให้คุณทักษิณ ได้รับการพักโทษ
เงื่อนไขตรงนี้ทำให้เกิดการตั้งข้อสงสัยว่าเป็นแผนสกัดคุณทักษิณ เพราะถ้าการได้รับการพักโทษเข้าเงื่อนไข แต่ต้องอยู่ในเงื่อนไขที่คุณทักษิณต้องไม่มีคดีต่อเนื่อง หรือคดีที่ค้างคาอยู่ในศาลระหว่างการพิจารณา ซึ่งจะไม่เข้าข่ายของการพักโทษ และจากกรณีนี้นำไปสู่การตั้งข้อสังเกตอีกว่า เป็นกฎหมายโดยแท้ หรือใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือในการสกัดกั้นเกมการเมือง
หากไปดูในหลักกฎหมายที่อัยการสูงสุดจะมีคำสั่งในการอุทธรณ์หรือไม่ และมีแนวโน้มข่าวมาว่าจะมีการอุทธรณ์ถือว่าผิดปกติตรงที่ตอนที่คุณทักษิณถูกตัดสิน อัยการสูงสุดท่านเดิมได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตามระเบียบของสำนักงานอัยการสูงสุด คดีที่ต้องโทษตามมาตรา 112 เพื่อไม่ให้มีการกลั่นแกล้งกันจะมีการตั้งคณะกรรมการมาพิจารณาชุดหนึ่ง เพื่อพิจารณาว่าจะฟ้องหรือไม่ฟ้อง และถ้ามีอุทธรณ์หรือฎีกา จะดำเนินการหรือไม่ ประกอบด้วยระดับอธิบดีฯ โดยผลคือ 8 ต่อ 2 มีความเห็นว่าควรยุติแล้ว เมื่อเอาพยานหลักฐานในชั้นศาลมาดู โดยศาลได้ตีตกในข้อกล่าวหา อัยการสูงสุดยังไม่มีคำสั่งให้ยุติทันที จนอัยการสูงสุดท่านเดิมเกษียณอายุราชการ จนมีท่านอัยการสูงสุดท่านใหม่ เลยมีกระแสข่าวว่าจะขออุทธรณ์คำพิพากษาคดี 112 คุณทักษิณ แต่มันก็มีความเห็นของคณะกรรมการที่ลงความเห็นไปแล้ว 8 ต่อ 2
นายศักดา นพสิทธิ์ นักวิเคราะห์การเมือง
ปกติการอุทธรณ์หรือฎีกาฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยจะดำเนินการภายใน 30 วัน แต่ปรากฏว่าอัยการมีการขยายเวลาอุทธรณ์มาเรื่อยๆ จนมีข่าวออกมาในเวลานี้ ซึ่งหากวันที่ 23 พ.ย.นี้ อัยการสูงสุดไม่มีการอุทธรณ์คดีตามข่าวที่ออกมา คุณทักษิณ ก็ขอพักโทษได้ เพราะไม่มีเงื่อนไขคดีค้าง แต่ถ้าในเชิงเทคนิคอีกทาง ถ้าอัยการสูงสุดยังไม่มีคำสั่งว่าฟ้องหรือไม่ฟ้องในวันที่กำหนด แล้วขยายเวลาออกไปจะทำให้คุณทักษิณไม่ได้รับการพิจารณาอีกเหมือนกัน หรือถ้ามีการอุทธรณ์ เท่ากับดับฝันการพักโทษ
ทบทวนหลักเกณฑ์พักโทษ
ขณะที่วันนี้ 18 พ.ย.68 กระทรวงยุติธรรมมีคำสั่งทบทวนหลักเกณฑ์ผู้ต้องขังพักโทษ-ส่งรักษาตัวนอกเรือนจำ จนเป็นอีกที่จับตาว่าเป็นการวางกับดักไม่ให้คุณทักษิณ พักโทษหรือไม่ นายศักดา วิเคราะห์ว่า ในการรวบรวมรายชื่อนักโทษที่จะขอพักโทษ ถ้าไม่ใช่แบบวีไอพี ต้องรอให้ครบการควบคุมเกิน 4 เดือนแล้วค่อยส่งรายชื่อมา แต่ในระดับวีไอพี ให้มีการทำเรื่องรอไว้ พอครบกำหนด 4 เดือน ก็สามารถยื่นเรื่องได้ทันที ซึ่งฝั่งตรงข้ามก็รู้ความลับว่า คุณทักษิณ ไปทำเรื่องมารอไว้แล้ว แม้ตอนนี้คุณสมบัติคุณทักษิณยังไม่เข้าเกณฑ์ระยะเวลาในการถูกควบคุมตัว ซึ่งถ้านับจากวันที่ถูกควบคุมตัวจะครบวันที่ 9 ม.ค. 2569
ตอนนี้เหมือนคุณทักษิณกำลังถูก 2 กับดัก ทั้งการอุทธรณ์คดี 112 และทบทวนหลักเกณฑ์การพักโทษ ดังนั้น ถ้าคุณทักษิณ ถูกตัดสินอย่างใดอย่างหนึ่งในทางที่เป็นโทษ ก็จะทำให้ไม่สามารถมาพักโทษภายนอกเรือนจำได้ และส่งผลต่อการหาเสียงของพรรคเพื่อไทย ในการเลือกตั้งครั้งหน้า ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงต้นปี 2569
เลือกตั้งครั้งหน้า “เพื่อไทย” ไม่มี “ทักษิณ” ช่วยหาเสียง
จาก 2 กับดักที่เกิดขึ้นในเชิงการเมืองย่อมส่งผลกระทบต่อพรรคเพื่อไทย หากมีการเลือกตั้งในช่วงต้นปี2569 โดย นายศักดา วิเคราะห์ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นจะทำให้พรรคเพื่อไทย มีขนาดที่เล็กลง และมีความเชื่อว่าจะทำให้พรรคภูมิใจไทย มีความเข้มแข็งและโดดเด่นที่สุดในการเลือกตั้งครั้งหน้า เพราะวันนี้การเมืองไทยแบ่งเป็น “3 ก๊ก” คือ ภูมิใจไทย เพื่อไทย และพรรคประชาชน โดยคะแนนเสียงส่วนใหญ่จะไหลอยู่ในพรรคเหล่านี้
ถ้ามองฉากทัศน์ทางการเมืองในการเลือกตั้งครั้งหน้าคือ 1. ภูมิใจไทย จับมือกับเพื่อไทย แต่คะแนนเสียงภูมิใจไทยต้องมากกว่า เพื่อสร้างความได้เปรียบ 2.ภูมิใจไทย จับมือพรรคประชาชน ก็ต้องให้ภูมิใจไทย มีคะแนนเสียงมากกว่า ไม่อย่างนั้นความชอบธรรมในการเป็นนายกฯ จะไม่เกิดขึ้นกับภูมิใจไทย
สิ่งนี้ทำให้เกิดการสร้างแรงกดดันที่ทำให้พรรคเพื่อไทย มีขนาดเล็กและพรรคอันดับ 3 ก่อน แล้วหลังจากนั้นค่อยมาแก้อีกขั้วหนึ่งกับพรรคประชาชน
แต่ที่ผ่านมาภูมิใจไทยได้ สส.เขต 68 คน สส.ปาร์ตี้ลิสต์ 3 คน รวมเป็น 71 คน ถ้าตั้งเป้าเลือกตั้งครั้งหน้า120 คน ก็ยังไม่สามารถเป็นพรรคอันดับ 1 ได้ เลยทำให้ตอนนี้เกิดการตีพรรคเพื่อไทย เพื่อให้พรรคมีขนาดเล็กลงเรื่อยๆ และมีแนวโน้มว่าสมาชิกพรรคบางส่วนอาจย้ายไปซบพรรคภูมิใจไทย ถ้ามาดูฝั่งพรรคประชาชน ซึ่งมีความเชื่อว่าเกมต่อไปคือ 40 สส. เมื่อเป็นอย่างนี้พรรคภูมิใจไทย ก็จะไปรวมกับพรรคเล็กอื่นๆ เพื่อจัดตั้งรัฐบาล
