ตลท.รับตลาดทุนไทยยังเผชิญความไม่แน่นอนสูง เดินหน้าดึง Jump+ ขยาย DR ฟื้นความเชื่อมั่นนักลงทุน | การเงินธนาคาร

ตลท. มองความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเมืองถ่วงตลาดทุน กำไรบริษัทจดทะเบียนลดลง สภาพคล่องลดเหลือ 40,000 ล้านบาทต่อวัน เร่งยกระดับความเชื่อมั่น ปรับเกณฑ์เข้าตลาดเข้มขึ้น ดันโครงการ Jump+ ขยาย DR–ETF–Bond Connect สร้างโอกาสลงทุนใหม่

18 ธันวาคม 2568 นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวในงานสัมมนา Thailand Next Move 2026: “Wealth Creation” ขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ความมั่งคั่งยั่งยืน จัดโดย วารสารการเงินธนาคาร ในหัวข้อ: Rebuilding Trust, Driving Growth : สร้างความเชื่อมั่นตลาดทุนไทยเพื่อการเติบโตที่ยั่งยืนว่า

ภาพรวมตลาดทุนไทยยังเผชิญความไม่แน่นอนในระดับสูง ทั้งจากปัจจัยเศรษฐกิจโลก ความผันผวนทางภูมิรัฐศาสตร์ และสถานการณ์การเมืองภายในประเทศ ซึ่งตลอดช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา ความไม่แน่นอนดังกล่าวไม่ได้ลดลงตามที่คาดการณ์ไว้ในปี 2567 และยังส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนอย่างมีนัยสำคัญ

โดยการแก้ไขปัญหาของตลาดทุนไม่สามารถดำเนินการโดยตลาดหลักทรัพย์เพียงฝ่ายเดียว จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และหน่วยงานกำกับดูแล เพื่อร่วมกันสร้างเสถียรภาพและการเติบโตอย่างยั่งยืน ทั้งในด้านภาวะเศรษฐกิจและผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน โดยยอมรับว่าการเติบโตของธุรกิจในประเทศอยู่ในระดับต่ำ โดยเฉพาะกำไรหลัก (Core Profit) ของบริษัทจดทะเบียนในช่วง 9 เดือนแรกของปีที่ผ่านมา ลดลงถึง 7.3% สะท้อนการชะลอตัวของเศรษฐกิจอย่างชัดเจน ขณะที่กำไรที่เพิ่มขึ้นในบางช่วงเกิดจากรายการพิเศษแบบครั้งเดียว (one time item) ซึ่งไม่สามารถเกิดซ้ำได้ในอนาคต

ขณะเดียวกัน สภาพคล่องในตลาดทุนปรับลดลงต่อเนื่อง โดยมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันคาดว่าจะปิดปีอยู่ที่ราว 40,000–42,000 ล้านบาท ส่วนมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Cap) ลดลงจากอดีตที่เคยสูงกว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) สอดคล้องกับทิศทางเงินลงทุนที่ไหลออกไปยังตลาดต่างประเทศ ซึ่งมีบริษัทที่เติบโตสูงกว่าอย่างมีนัยสำคัญ

อีกทั้งในช่วงที่ผ่านมา ตลาดทุนได้เผชิญเหตุการณ์ด้านธรรมาภิบาลของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) บางแห่งในช่วงที่ผ่านมาได้ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์และความเชื่อมั่นของตลาดทุนไทย แม้จะเป็นเพียงส่วนน้อยเมื่อเทียบกับบริษัทจดทะเบียนกว่า 800 แห่งก็ตาม เพื่อตอบโจทย์ความท้าทายดังกล่าว ตลท. ได้กำหนดแผนยุทธศาสตร์โดยให้ความสำคัญกับการสร้าง “Trust and Confidence” เป็นอันดับแรก ผ่านการยกระดับเกณฑ์การรับบริษัทเข้าจดทะเบียนให้เข้มงวดขึ้น การปรับกลไกการซื้อขายให้สมดุลระหว่างเสถียรภาพและความสามารถในการแข่งขัน รวมถึงการทำงานร่วมกับสำนักงาน ก.ล.ต. และ ปปง. เพื่อเร่งจัดการพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมในตลาดทุนอย่างรวดเร็ว

การเมืองฉุดรั้งความเชื่อมั่น

นายอัสสเดช กล่าวว่า ด้านความผันผวนทางการเมืองฉุดรั้งความเชื่อมั่น จากสภาวะเศรษฐกิจและตลาดทุนไทยในช่วงที่ผ่านมาตกอยู่ภายใต้ความไม่แน่นอนสูง โดยเฉพาะปัจจัยด้านการเมืองภายในประเทศที่นักวิเคราะห์ต่างให้ความสนใจ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยในช่วงระยะการำงานในตำแหน่ง กรรมการและผู้จัดการ ตลท. ในช่วง 1 ปี 2 เดือน ไทยได้เปลี่ยนนายกรัฐมนตรีถึง 3 ท่าน และกำลังจะเข้าสู่ท่านที่ 4 ในปีหน้า ทั้งนี้หากสถานการณ์ทางการเมืองยังไม่มีความชัดเจนหรือปรับเปลี่ยนไม่ได้ ภาคเศรษฐกิจก็จะต้องเผชิญกับความเหนื่อยยากต่อไป

อีกทั้งด้านการท่องเที่ยว จากยอดนักท่องเที่ยวลดลงจากปี 2567 ผ่านมา และไม่สามารถกลับไปสู่จุดสูงสุดในช่วงก่อนโควิด (Pre-COVID) ตามที่เคยคาดหวังไว้ ด้านการส่งออกแม้ครึ่งแรกปี 2567 จะดูดี แต่ปัจจุบันเริ่มเห็นสัญญาณว่าเป็นการเร่งตัวในช่วงสั้นเท่านั้น และหาก GDP ของไทยยังคงเฉลี่ยต่ำกว่า 2% ต่อไป จะทำให้ยากต่อการแข่งขันเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านและภูมิภาคอื่น ๆ

ตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงมองว่าทางออกของสถานการณ์นี้คือการเร่งผลักดันความร่วมมือระหว่างภาคเอกชนและภาครัฐเพื่อให้เกิดการลงทุนใหม่ ๆ เนื่องจากประเทศไทยขาดแคลนการลงทุนมาเป็นเวลานาน หากทั้งสองภาคส่วนไม่ร่วมมือกันเพื่อสร้าง New S-Curve ใหม่ เศรษฐกิจจะไม่สามารถขับเคลื่อนไปได้

นายอัสสเดช กล่าวว่า สถานการณ์ทั้งหมดที่ตลาดทุนเผชิญอยู่ ทำให้ตลท.ต้องผลักดันโครงการสำคัญเพื่อเพิ่มความน่าสนใจของตลาดทุน ได้แก่ โครงการ Jump+ ที่มุ่งกระตุ้นให้บริษัทจดทะเบียนลงทุนและสร้างมูลค่าในระยะยาว

โดยตั้งเป้าไว้ 50-100 บริษัทที่จะเข้าร่วม แต่ในปัจจุบันมีบริษัทเข้าร่วมแล้วกว่า 100 บริษัท และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นได้อีกในอนาคต โดยบจ. ต้องจัดทำแผนธุรกิจ 3 ปี ครอบคลุมทั้งด้านการเงิน ธรรมาภิบาล ESG และการจัดการก๊าซเรือนกระจก

อีกทั้งการขยายผลิตภัณฑ์ลงทุน เช่น Depositary Receipts (DR) ซึ่งปัจจุบันมีเกือบ 230 หลักทรัพย์ เปิดโอกาสให้นักลงทุนไทยเข้าถึงหุ้นต่างประเทศที่เติบโตสูง รวมทั้งการเปิดตัว Leverage & Inverse ETF เพื่อเพิ่มทางเลือกในการบริหารพอร์ตทั้งตลาดขาขึ้นและขาลง และการเตรียมเปิด Bond Connect Platform คาดว่าจะเริ่มได้ในต้นปีหน้า เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลได้ง่ายขึ้นผ่านบริษัทหลักทรัพย์

อย่างไรก็ตามในระยะยาว ตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านความยั่งยืน อาทิ SET Carbon Ecosystem และการเตรียมความพร้อมสำหรับตลาดซื้อขายคาร์บอนเครดิต เพื่อรองรับกติกาใหม่ด้านสิ่งแวดล้อมในอนาคต

“เป้าหมายสำคัญของตลท. คือการยกระดับตลาดทุนไทยให้กลับมาน่าสนใจอีกครั้ง พร้อมผลักดันการเข้าถึงตลาดทุนของธุรกิจขนาดเล็กและธุรกิจใหม่ เพื่อสร้างความหลากหลายและความแข็งแกร่งให้กับระบบเศรษฐกิจไทยในระยะยาว” นายอัสสเดช กล่าว

อ่าน Slide เพิ่มเติมได้ที่นี่

ข่าวที่เกี่ยวข้อง :