เดดล็อก 3 ป. กับดักการเมืองเก่า !?

เดดล็อก 3 ป. กับดักการเมืองเก่า !?
เมืองไทย 360 องศา

ไม่ว่าในอนาคต “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จะ “ไปต่อ” เพื่อหวังกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งในการเลือกตั้งสมัยหน้า รวมไปถึงการตั้งพรรคใหม่ จะเป็นจริงหรือไม่ก็ตาม สิ่งที่จะเกิดขึ้นแวดล้อมตัวเขาก็จะเป็นเรื่องของ “การเมืองแบบเก่า” ไม่อาจสร้างหลักประกันในแบบความหวังใหม่ๆ ได้เลย

หากบอกว่า การก้าวขึ้นสู่อำนาจของ “กลุ่ม 3 ป.” อันประกอบด้วย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ และพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ตั้งแต่การรัฐประหาร เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 มาจนถึงวันนี้ นานกว่า 7 ปี อาจถือว่า เป็นการสูญเปล่าในแง่ของการ “ปฏิรูป” ทุกด้านตามที่คนไทยจำนวนมากตั้งความหวังเอาไว้ ทั้งที่หากยังจำกันได้หนึ่งในคำประกาศของ คสช.ก็มีเรื่องการปฏิรูปรวมอยู่ในนั้นด้วย

แม้ว่าที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จะพยายามแสดงท่าทางให้เห็นมาตลอดว่ามีเจตนาต้องการ “ปฏิรูป” ในทุกด้าน แต่เอาเข้าจริงทุกอย่างก็เหลว ไม่มีความคืบหน้า หรือบางอย่างจะมีความพยายามปฏิรูป แต่ก็ออกไปในแบบ “ผิดทาง” ไม่ตรงตามความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง

ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ มักจะอ้างว่า มีความพยายามผลักดันอย่างเต็มที่ แต่ต้องมีกลไกอีกหลายอย่างเป็นองค์ประกอบในการขับเคลื่อน เช่น บอกว่า มีการกำหนดเอาไว้ในรัฐธรรมนูญ ตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ แต่ในความเป็นจริงที่เห็นอยู่ตรงหน้าทุกอย่างยังหยุดนิ่งอยู่กับที่

ตัวอย่างในสิ่งที่ชาวบ้านต้องการให้ผลักดันเร่งด่วน เช่น การปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมทั้งระบบ ก็ไม่คืบหน้า หรือแค่ “การปฏิรูปตำรวจ” ก็ยังไม่ถึงไหน การอ้างว่าร่างกฎหมายดังกล่าวอยู่ในสภาแล้ว ก็อาจจะใช่ แต่เมื่อพิจารณาจากเนื้อหาแล้ว หลายคนสรุปตรงกันว่า “มันไม่ใช่การปฏิรูปตำรวจ” ตามที่ชาวบ้านส่วนใหญ่ต้องการ ผิดเพี้ยนไปจากร่างที่คณะกรรมการปฏิรูปตำรวจ ชุดที่มี นายมีชัย ฤชุพันธุ์ เป็นประธานไปไกล นี่คือตัวอย่างที่เห็นชัดว่า ทุกอย่างยังไม่ถึงไหน

หากย้อนกลับไปเมื่อครั้งที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่มีอำนาจในมือเบ็ดเสร็จ และที่สำคัญยังอยู่ในช่วงที่มี “พลังหนุน” จากประชาชนทั่วประเทศจำนวนมาก โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีความตื่นตัวทางการเมืองสูง เป็นคนชั้นกลางที่มีจำนวนมากพอสมควร ซึ่งการปฏิรูปย่อมต้องการพลังหนุนจากคนพวกนี้ เพราะการปฏิรูปไม่ว่าจะเป็นการปฏิรูปราชการ เช่น การปฏิรูปตำรวจ ย่อมต้องได้รับการต่อต้านจากพวกราชการที่มีอำนาจ เพราะเกรงจะสูญเสียอำนาจ

ขณะเดียวกัน หากพิจารณาจากสถานการณ์และ “แบ็กกราวนด์” ของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และ “กลุ่ม 3 ป.” ทั้งหมดล้วนมีเส้นทางเติบโตมาในระบบราชการ ที่เป็นลักษณะของ “อนุรักษนิยมสุดขั้ว” มันจึงเป็นเรื่องยากที่จะมีแนวทางในการ “ปฏิรูปแบบขนานใหญ่” เพราะในความเป็นจริงพวกเขายังต้องการใช้กลไกของ “ข้าราชการแบบเดิม” เป็นเครื่องมือ หรือเป็นฐานทางการเมือง จนถูกเรียกว่าเป็น “รัฐข้าราชการ” มาตลอด

แน่นอนว่า เมื่อเป้าหมายในเรื่องการปฏิรูป โดยเฉพาะภารกิจเร่งด่วนอย่างการ “ปฏิรูปตำรวจ” ที่ถือว่ายังไม่มีความคืบหน้าเป็นรูปธรรม แม้จะอ้างว่าอยู่ในขั้นตอนทางนิติบัญญัติ แต่เมื่อพิจารณาจากเนื้อหาของร่างกฎหมายแล้วถือว่า “ไม่โดนใจ” ใครหลายคน และเมื่อพิจารณาจากภาพรวมๆ ในเรื่องการ “ปฏิรูป” ที่เคยย้ำว่าจะ “ปฏิรูปทุกด้าน” เอาเข้าจริงถือว่ายัง “ไม่ได้สักด้าน” ซึ่งเรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญ และทำให้พลังหนุนของมวลชนลดน้อยถอยลงไปเป็นจำนวนมาก

อีกทั้งเมื่อมาพิจารณาในกลุ่ม “2 ป.” ที่เหลือ คือ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่เวลานี้เป็นหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นอกจากไม่เคยมีท่าทีผลักดันในเรื่องการ “ปฏิรูป” ใดๆ แล้ว ในทางตรงกันข้ามกลับมีภาพลักษณ์ในการ “ขัดขวาง” อีกต่างหาก เพราะเมื่อมองจากทุกองคาพยพรอบตัวของพวกเขา ทั้งในรูปแบบการบริหาร ทั้งในพรรคการเมืองที่แวดล้อมไปด้วยนักการเมืองที่ล้วนมี “ภาพลักษณ์สีเทาเข้ม” ทั้งสิ้น ในพรรคมีแต่การตั้งก๊วนต่อรองผลประโยชน์

นอกเหนือจากนี้ หากมีข่าวว่า การตั้งพรรคใหม่ขึ้นมารองรับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในการเลือกตั้งคราวหน้า ไม่ว่าจะใช้ชื่ออะไรก็ตาม มันก็คงเข้าอีหรอบเดิม เป็นเพียงการย้ายข้าง จากพรรคหนึ่งไปสู่อีกพรรคหนึ่งของพวกนักต่อรองทางการเมือง เพื่อผลประโยชน์ในวันหน้าเท่านั้นเอง

ดังนั้น นาทีนี้ถือว่าตลอดกว่า 7 ปี ของการอยู่ในอำนาจของ “กลุ่ม 3 ป.” ถือว่าสูญเปล่า โดยเฉพาะ “วาระการปฏิรูป” ที่ถือว่าไม่มีความคืบหน้าเป็นรูปธรรมให้จับต้องได้ ในทางตรงกันข้ามกลับกลายเป็นเพิ่มความเข้มแข็งให้กับระบบราชการแบบเก่ามากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งไม่ตอบโจทย์และกำลังขัดแย้งกันเองกับระบบเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่ต้องใช้ “ดิจิทัล” ซึ่งระบบราชการยังใหญ่โตเทอะทะ ขณะเดียวกัน อีกด้านหนึ่งมันก็กลายเป็น “เดดล็อก” ให้กับพวกเขาในวันข้างหน้าในเส้นทางการเมืองยิ่งตีบตันลงเรื่อยๆ เพราะพลังหนุนเสื่อมถอยลง !!